วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556
Profile
ชื่อ อัมภาพร แสงดาวชื่อเล่น เบียร์ นิสิต ชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ ภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาสารคามรหัสนิสิต 56010514104
https://plus.google.com/u/0/photos/101066098312981122280/albums/5927502730092258417
ตัวอย่างสำนวนไทย
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ข้อควรคำนึงในการใช้สำนวนไทย
1. ควรใช้ให้ถูกต้องตรงตามความหมาย นั่นคือ ผู้ใช้จะต้องเรียนรู้และเข้าใจความหมายของสำนวนอย่างถ่องแท้ จึงจะใช้สำนวนได้ถูกต้องตามความหมาย เพราะมีสำนวนที่มีคำใช้คล้ายกันแต่มีความหมายต่างกัน จึงใช้แทนกันไม่ได้ แต่ก็มีบางสำนวนที่มี ความหมายเหมือนกัน คล้ายคลึงกันอาจใช้แทนกันได้ แต่บางสำนวนแม้จะ มีความหมายเหมือนกันก็ไม่อาจจะใช้แทนกันได้ ทุกสถานการณ์
3. ใช้สำนวนให้ถูกต้องตามสถานการณ์ สอดคล้องกับกาลเทศะและบุคคลและใช้ให้พอเหมาะ ไม่ฟุ่มเฟือย จนไม่อาจสื่อสารได้ดังต้องการ ดังนั้นควรคำนึงถึงโอกาสและความเหมาะสมเป็นสำคัญ
เช่น
-กระดี่ได้น้ำ ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการ ดีอกดีใจ ตื่นเต้นจนตัวสั่น เช่น เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
-กินน้ำใต้ศอก จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า, (มักหมายถึงเมียน้อย
ที่ต้องยอมลงให้แก่ เมียหลวง
2.ไม่เขียนสำนวนผิดหรือใช้ต่างไปจากสำนวนที่มีใช้อยู่โดยทั่วไปเพราะจะสื่อความหมายไม่ได้ ดังจุดประสงค์ เช่น
-กงเกวียนกำเกวียน เป็น กงกำกงเกวียน
-ขายผ้าเอาหน้ารอดเป็นแก้ผ้าเอาหน้ารอด
|
3. ใช้สำนวนให้ถูกต้องตามสถานการณ์ สอดคล้องกับกาลเทศะและบุคคลและใช้ให้พอเหมาะ ไม่ฟุ่มเฟือย จนไม่อาจสื่อสารได้ดังต้องการ ดังนั้นควรคำนึงถึงโอกาสและความเหมาะสมเป็นสำคัญ
เช่น
-กระดี่ได้น้ำ ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการ ดีอกดีใจ ตื่นเต้นจนตัวสั่น เช่น เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
-กินน้ำใต้ศอก จำต้องยอมเป็นรองเขา, ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า, (มักหมายถึงเมียน้อย
ที่ต้องยอมลงให้แก่ เมียหลวง
วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556
วิธีการใช้สำนวน
1. ใช้ในการจูงใจ เช่น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา ธรรมะย่อมชนะอธรรม คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร
เป็นต้น | ||
![]() | ||
2. ใช้ย่อข้อความยาว ๆ เช่น ขิงก็รา ข่าก็แรง ตัดหางปล่อยวัด จับปลาสองมือ กินเปล่า ชุบมือเปิบ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เป็นต้น
| ||
![]() | ||
3. ใช้ขยายความหรือเน้นความเข้าใจ เช่น ปิดทองหลังพระ หนีเสือปะจระเข้ ทำคุณบูชาโทษ กินน้ำใต้ศอก เรือล่มในหนองทองจะไปไหน หนูตกถังข้าวสาร เป็นต้น | ||
![]() | ||
4. ใช้แทนถ้อยคำที่ไม่ต้องการกล่าวตรงๆ เช่น เฒ่าหัวงู สิ้นบุญ เจ้าโลก บ้านเล็ก ไก่แก่แม่ปลาช่อน โคแก่กินหญ้าอ่อน วัวเคยขาม้าเคยขี่ เป็นต้น
| ||
![]() | ||
5. ใช้เพิ่มสีสันและความสละสลวยของถ้อยคำในการสื่อสาร เช่น ข้าวแดงแกงร้อน อยู่เย็นเป็นสุข รั้วรอบขอบชิด คลุกคลีตีโมง ขุดบ่อ ล่อ ปลา เป็นต้น
| ||
สำนวนที่เกิดขึ้นใหม่
1. สำนวนที่เกิดจากวงการสื่อมวลชน เช่น ไปไม่ถึงดวงดาว (ไม่สำเร็จ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่คิดไว้) มองต่างมุม (แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป) เป็นต้น
| ||
![]() | ||
2. สำนวนที่เกิดจากวงการเมือง เช่น โปร่งใส (ชัดเจน ไม่มีลับลมคนใน) น็อตหลุด (ยั้งไม่อยู่ พูดโพล่งออกมาหรือแสดงอารมณ์อย่างไม่สมควร) เป็นต้น
| ||
![]() | ||
3. สำนวนที่เกิดจากวงการโฆษณา เช่น ภาษาดอกไม้ (คำพูดที่ไพเราะ รื่นหู พูดไป ทางที่ดี) มีระดับ (คุณภาพดี มีมาตรฐานสูง) เป็นต้น
| ||
![]() | ||
4. สำนวนที่เกิดจากวงการบันเทิง เช่น แจ้งเกิด (เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหรือเป็นที่ยอมรับในวงการนั้น ๆ) คู่กัด (คู่ที่ไม่ถูกกัน) เป็นต้น
| ||
![]() | ||
5. สำนวนที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศ เช่น เเกะดำ (back sheep ใช้หมายถึง คนชั่วในกลุ่มคนดี) แขวนอยู่บนเส้นด้าย (hang by a thread ใช้หมายถึง ตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่ออันตราย) ลื่นเหมือนปลาไหล (slippery as eel ใช้หมายถึง (คน)ที่เชื่อถือได้ยากเพราะเป็นคนตลบตะแลง พลิกแพลงกลับกลอก หรือหลบเลี่ยงไปมาได้คล่องแคล่ว) ล้างมือ (wash one’ s hand of ใช้หมายถึง ปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบ หรือเลิกเกี่ยวข้อง) สร้างวิมานในอากาศ (build castles in the air ใช้หมายถึง ฝันหรือหวังในสิ่งที่ไม่วสามารถจะเป็นความจริงได้) เป็นต้น
| ||
![]() | ||
6. สำนวนเกิดใหม่ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์รายวัน
-สำนวนสร้างใหม่ เช่น ขบเหลี่ยม (ไม่ลงรอยกัน ขัดกัน หักร้างกัน) ไทยเหลือง (พระที่ประพฤติตน ไม่เหมาะสม) -สำนวนดัดแปลง เช่น กิ้งก่าฟาดหาง (อาการเตะเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงข้าม ดัดแปลงจากชื่อท่ามวยไทย จระเข้ฟาดหาง ) นักกินเมือง (นักการเมืองที่มุ่งแต่จะหาประโยชน์เข้าตัวเอง ดัดแปลงจากคำว่า นักการเมือง) ยุค IMF (ยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำต้องประหยัด IMF มาจากคำว่า International Monetary Found ซึ่งเป็นชื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ) -สำนวนที่เปลี่ยนบริบทการใช้ เช่น ชิงสุกก่อนห่าม (ตกรอบไปก่อนเวลาอันสมควร ปรกติใช้กับการที่หนุ่มสาวลักลอยได้เสียกันก่อนแต่งงาน แต่นำมาใช้ในบริบทใหม่ทางการกีฬา) อุ้ม (ลักพาตัวไป เพื่อนำไปฆ่า เปลี่ยนความหมายจากเดิมที่หมายถึง โอบ ยกขึ้น ยกขึ้นไว้กับตัว หรือให้ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือ) -สำนวนที่มาจากภาษาต่างประเทศ เช่น ฮั้ว (สมยอมกันในการประมูลงานโดย บริษัทหนึ่งจะ นัดบริษัทอื่น ๆ ที่สนใจในการประมูลงานใดงานหนึ่งมาตกลงกัน บริษัทนั้นจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้บริษัทอื่น ๆ เพื่อให้บริษัทเหล่านั้นหลีกทางให้บริษัทตนเป็นผู้ประมูลได้ มาจากคำว่า ฮั้ว ในภาษาจีน) ไฮโซ ไฮซ้อ ไฮซิ้ม (ชนชั้นสูงหรือผู้มีเงิน มีฐานะในวงสังคม มีที่มาจากคุณหญิง คุณนายที่เป็นภรรยาหรือบุตรนักธุรกิจ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยเสื้อสายจีน และบางคนอาจมีลักษณะของความเป็นจีนอยู่ จึงมีการพูดล้อเลียน ไฮซ้อ ไฮซิ้ม มาจากคำว่า ไฮโซ รวมกับคำว่า ซ้อ และ ซิ้ม ซึ่งเป็นภาษาจีน) เตะซีมะโด่ง (ให้พ้นจากตำแหน่ง ปรกติจะใช้ว่า เตะโด่ง ซีมะโด่ง เป็นคำมาจากภาษาเขมรว่า ซีมวยดอง แปลว่า กินหนึ่งครั้ง เสียงพยางค์สุดท้ายใกล้เคียงกับคำว่า โด่ง ในภาษาไทย จึงนำมาใช้แทนคำว่า โด่ง) | ||
ลักษณะของสำนวนไทย
1. ถ้อยคำที่ใช้เป็นสำนวนอาจเป็นเพียงคำเดียว หรือประกอบด้วยถ้อยคำที่เรียงกันตั้งแต่ 2 คำขึ้นไปซึ่งบาง สำนวนเป็นกลุ่มคำ บางสำนวนเป็นประโยค ซึ่งมีทั้งความเดียวและประโยคความซ้อน
| ||
2. สำนวนไทยบางสำนวนมีทั้งมีเสียงสัมผัสและไม่มีเสียงสัมผัส ที่มีเสียงสัมผัส มีเสียงสัมผัสในและสัมผัสนอก จะมีตั้งแต่ 4 ถึง 12 คำ ส่วนที่ไม่มีเสียงสัมผัส จะมีตั้งแต่ 2 ถึง 8 คำ บางสำนวนมีการใช้คำซ้ำและเล่นคำ
| ||
3. เนื้อความของสำนวนมีทั้งที่มีเนื้อความตอนเดียว และมีเนื้อความสองตอนขึ้นไป
| ||
4. เนื้อหาของสำนวนจะมีหลากหลาย ดังนี้
4.1 เนื้อหาเกี่ยวกับรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ และกิริยาท่าทาง 4.2 เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะนิสัย กิริยาอาการและพฤติกรรม 4.3 เนื้อหาเกี่ยวกับจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก 4.4 เนื้อหาเกี่ยวกับการพูด 4.5 เนื้อหาเกี่ยวกับความรัก การมีคู่ และการครองเรือน 4.6 เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้ และการอบรมสั่งสอน 4.7 เนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ อาชีพ การทำงาน การทำมาหากิน และการดำรงชีวิต 4.8 เนื้อหาเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคม การเมือง การปกครอง 4.9 เนื้อหาเกี่ยวกับคุณธรรม การเตือนสติและคำสอนต่าง ๆ 4.10 เนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์ สถานการณ์ เวลา ระยะทางและสถานที่ | ||
![]() | ||
5. เป็นถ้อยคำสละสลวยที่ใช้แทนคำพูดธรรมดา เป็นคำแปลก ๆ โดยอาจเทียบเคียงมาจากการกระทำบางอย่าง เป็นคำกล่าวที่มีความหมายโดยนัย เป็นคำที่มาจากปรากฏการธรรมชาติ นิทาน ชาดก หรือวรรณคดี ใช้ถ้อยคำน้อย แต่มีเนื้อความมาก และเป็นคำที่มีความไพเราะ ฯลฯ
| ||
![]() |
ประวัติของสำนวนไทย
สำนวนไทยนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง ถ้อยคําหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ สันนิษฐานว่า สำนวนนั้นมีอยู่ในภาษาพูดก่อนที่จะมีภาษาเขียนเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยเมื่อพิจารณาจากข้อความในศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหงแล้ว ก็พบว่ามีสำนวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส หมายถึง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขหนังสือสุภาษิตพระร่วงก็มีเนื้อหาเป็นสำนวนไทยที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมากมาย เช่น เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่
หนังสือกฎมณเฑียรบาลของเก่า ก็มีสำนวนไทยปรากฏอยู่ นอกจากนี้ในวรรณคดีไทยต่างๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมาก็มีสำนวนไทยปรากฏอยู่มากมาย เช่น ขุนช้างขุนแผน ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ และราชาธิราชเป็นต้น สำนวนเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของภาษาไทย เพราะเป็นคำพูดที่กลั่นกรองขึ้น เพื่อความสละสลวยของภาษาเป็นถ้อยคำที่คมคายกว่าคำพูดธรรมดา เป็นคำพูดที่รวมใจความยาวๆให้สั้นลงได้ ก็จะทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจง่าย ๆ |
ความหมายของสำนวนไทย
สำนวนหมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงเป็นข้อความ หรือคำพูดที่เป็นชั้นเชิง ไม่ตรงตามรูปแบบภาษา เป็นถ้อยคำหรือ คำพูดที่มีลักษณะเฉพาะตัว มีความหมายเป็นนัยแฝงอยู่ กินความกว้าง หรือลึกซึ้ง นำมาใช้ให้มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายเดิมของคำ ๆ นั้น หรืออาจจะมีความหมายคล้าย กับความหมายเดิมของคำที่นำมาประสมกัน แต่ก็ไม่เหมือนกับความหมายเดิมทีเดียว เป็นความหมายใน เชิงอุปมาเปรียบเทียบ มักใช้ถ้อยคำที่ไม่ยาวมากแต่กินความมาก ใช้คำที่ไพเราะ คมคาย สละสลวย ต้องอาศัยการตีความจึงจะเข้าใจ | ||
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)