วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

Profile

ชื่อ อัมภาพร   แสงดาวชื่อเล่น เบียร์ นิสิต ชั้นปีที่ 1 คณะศึกษาศาสตร์ ภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาสารคามรหัสนิสิต 56010514104


อัลบั้มภาพเพิ่มเติมค่่ะ

https://plus.google.com/u/0/photos/101066098312981122280/albums/5927502730092258417

เพลิดเพลินกับนิทานสำนวนไทย

หรรษากับดอกสร้อยสำนวนไทย

ตัวอย่างสำนวนไทย

 
 
สำนวน
ความหมาย
สำนวน
ความหมาย
ไกลปืนเที่ยง
ว.ไม่รู้อะไร  เพราะ อยู่ห่างไกลความเจริญ
ขมิ้นกับปูน
ว.ชอบวิวาทกันอยู่เสมอ เมื่ออยู่ใกล้กันไม่ถูกกัน
ขวานผ่าซาก
ว.โผงผางไม่เกรงใจใคร (ใช้แก่กริยาพูด)
ข้าเก่าเต่าเลี้ยง
น.คนเก่าคนแก่, คนที่อยู่ด้วยกันในฐานะ รับใช้มานาน
ขายผ้าเอาหน้ารอด
ก.ยอมเสียสละแม้แต่ ของจำเป็นที่ตนที่อยู่  เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้,  ทำให้เสร็จลุล่วงไป  เพื่อรักษาชื่อเสียงของตนไว้
ข้าวแดงแกงร้อน
น.บุญคุณ
ขิงก็รา  ข่าก็แรง
ต่างก็จัดจ้านพอ ๆ กัน ,  ต่างก็มีอารมณ์ร้อนพอ ๆ กัน,  ต่างไม่ยอมลดละกัน
ขี่ช้างจับตั๊กแตน
ก.ลงทุนมากแต่ได้ผล นิดหน่อย
เข้าเมืองตาหลิ่ว 
ต้องหลิ่วตาตาม
ก.ประพฤติตนตามที่ คนส่วนใหญ่ ประพฤติกัน
เขียนเสือให้วัวกลัว
ก.ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง  เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่ง เสียขวัญหรือเกรงขาม
แขวนนวม
ก.เลิกชกมวย,  โดยปริยายหมายถึง
เลิก,  หยุด
ไข่ในหิน
น.ของที่ต้องระมัดระวังทะนุถนอมอย่างยิ่ง
คดในข้องอในกระดูก
ว.มีสันดานคดโกง
คนดีผีคุ้ม
น.คนทำดี เทวดาย่อมคุ้มครอง, 
มักใช้คู่กับ  คนร้ายตายขุม  เป็น  คนดี
ผีคุ้ม  คนร้ายตายขุม
คนรักเท่าผืนหนัง 
คนชังเท่าผืนเสื่อ
น.คนรักมีน้อย  คนชังมีมาก
คมในฝัก
ว.มีความรู้ความสามารถ แต่เมื่อยังไม่ถึงเวลา ก็ไม่แสดง ออกมาให้ปรากฏ
คลุกคลีตีโมง
ก.มั่วสุม หรืออยู่ร่วม คลุกคลีพัวพันกัน
อย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
คลุมถุงชน
น.ลักษณะการแต่งงาน ที่ผู้ใหญ่จัดการให้โดย ที่เจ้าตัวไม่รู้จักคุ้นเคยหรือ รักกันมาก่อน
คว่ำบาตร
ก.ไม่ยอมคบค้าสมาคมด้วย,  เดิมหมายถึง สังฆกรรมที่พระสงฆ์ ประกาศลงโทษคฤหัสถ์ ผู้ประทุษร้ายต่อศาสนา ด้วยการไม่คบ  ไม่รับบิณฑบาตเป็นต้น
คางคกขึ้นวอ
น.คนที่มีฐานะต่ำต้อย  พอได้ดิบได้ดี ก็มักแสดงกิริยาอวดดีลืมตัว
เคราะห์หามยามร้าย
น.เคราะห์ร้าย
เคียงบ่าเคียงไหล่
ว.มีฐานะเสมอกัน  ทัดเทียมกัน หรืออยู่ในระดับเดียวกัน;  ร่วมสุขร่วมทุกข์  หรือร่วมเป็น ร่วมตายด้วยกัน  เช่น 
รบเคียงบ่าเคียงไหล่
ฆ้องปากแตก
ว.ปากโป้ง,  เก็บความลับไม่อยู่,  ชอบนำความลับของผู้อื่นไปโพนทะนา
ฆ่าควายเสียดายเกลือ,  ฆ่าควายเสียดายพริก
ก.ทำการใหญ่ไม่ควรตระหนี่
ฆ่าช้างเอางา
ก.ทำลายของใหญ่เพื่อให้ได้ของเล็กน้อย ซึ่งไม่คุ้มค่ากัน
ฆ่าไม่ตายขายไม่ขาด
ก.ตัดเยื่อใยไม่ขาด (มักใช้แก่พ่อแม่ ที่รักลูกมาก ถึงจะโกรธ จะเกลียดอย่างไร ก็ตัดไม่ขาด)
งงเป็นไก่ตาแตก
ก.งงมากจนทำอะไรไม่ถูก
งมเข็มในมหาสมุทร
ก.ค้นหาสิ่งที่ยากจะค้นหาได้,  ทำกิจที่สำเร็จได้ยาก
งอมืองอตีน
ก.เกียจคร้าน, ไม่สนใจขวนขวายทำการงาน,  ไม่คิดสู้
งานหลวงไม่ขาด 
งานราษฎร์ไม่เสีย
ทำงานไม่บกพร่องทั้งงานส่วนรวม และส่วนตัว
งูกินหาง
ว.เกี่ยวโยงกันจากหัวถึงหางโดยซัดกันเป็นทอดๆ
เงาตามตัว
น.ผู้ที่ไปไหนไปด้วยกันแทบไม่คลาดกันเลย;  สิ่งที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงไปตามกัน  เช่น  น้ำมันขึ้นราคา  สินค้าอื่น ๆ ก็ขึ้นราคา เป็นเงาตามตัว
เงียบเป็นเป่าสาก
ว.ลักษณะที่เงียบสนิท
โง่เง่าเต่าตุ่น
ว.โง่ที่สุด  เช่น  เพราะโง่เง่าเต่าตุ่นพ่อคุณเอ๋ย  ผู้ใดเลยจะประสงค์จำนงหมาย (นิ.  ทวาราวดี)
โง่แล้วอยากนอนเตียง
ว.โง่แล้วไม่เจียมตัวว่าโง่ ไปทำสิ่งที่ตน ไม่รู้ไม่เข้าใจ
จมูกมด
ว.ไหวตัวหรือรู้ตัวทันเหตุการณ์, 
บางทีใช้คู่กับ คำว่า  หูผี  เป็น  หูผีจมูกมด
จระเข้ขวางคลอง
น.ผู้ที่ชอบกันท่าหรือขัดขวางไม่ให้ผู้อื่นทำการ  อย่างใดอย่างหนึ่ง ได้สะดวกเหมือนจระเข้ ที่ขึ้นมาขวางคลองทำให้เรือ ผ่านไปมาไม่สะดวก
จองหองพองขน
ว.เย่อหยิ่งแสดงอาการ ลบหลู่
จับปลาสองมือ
ก.หมายจะเอาให้ได้ ทั้ง 2 อย่าง,  เสี่ยงทำการ 2   อย่างพร้อม ๆ กัน  ซึ่งอาจไม ่สำเร็จทั้ง 2 อย่าง
จับปูใส่กระด้ง
ก.ยากที่จะทำให้อยู่นิ่ง ๆ ได้
จับแพะชนแกะ
ก.ทำอย่างขอไปที  ไม่ได้อย่างนี้ก็เอาอย่างนั้น เข้าแทน เพื่อให้ลุล่วงไป
จับเสือมือเปล่า
ก.แสวงหาประโยชน์ โดยตัวเองไม่ต้องลงทุน
จุดไต้ตำตอ
ก.พูดหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งบังเอิญไปโดน เอาเจ้าตัว หรือผู้ที่เป็นเจ้าของเรื่องนั้นเข้าโดยผู้พูด หรือผู้ทำไม่รู้ตัว
เจ้าไม่มีศาล 
สมภารไม่มีวัด
น.ผู้ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
ชักน้ำเข้าลึก
ชักศึกเข้าบ้าน
ก.นำศัตรูเข้าบ้าน
ชักใบให้เรือเสีย
ก.พูดหรือทำขวาง ๆ ให้การสนทนาหรือ การงานเขว ออกนอกเรื่องไป
ชักใย
ก.บงการอยู่เบื้องหลัง
ชั่วช่างชี  ดีช่างสงฆ์
ว.ปล่อยไปตามเรื่องตามราว  ไม่เอาเป็นธุระ (มักใช้แก่พระสงฆ์)
ช้า ๆ ได้พร้า
สองเล่มงาม
ว.ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ ทำแล้วจะสำเร็จผล
ช้างตายทั้งตัว  เอาใบบัวมาปิด
น.ความชั่วหรือความผิดร้ายแรงที่คนรู้กันทั่วแล้ว  จะปิดอย่างไรก็ไม่มิด
ชายสามโบสถ์
น.ผู้ที่บวชแล้วสึกถึง 3 หน,ใช้พูดเป็นเชิงตำหนิว่า  เป็นคนไม่น่าคบ
ชิงสุกก่อนห่าม
ก.ทำสิ่งที่ยังไม่สมควรแก่วัยหรือยังไม่ถึงเวลา
(มักหมายถึงการลักลอบได้เสียกันก่อน แต่งงาน),  ใช้เป็นคำสอน หรือเตือนสติ ว่า  อย่าชิงสุกก่อนห่าม
ชี้นกบนปลายไม
ก.หวังในสิ่งที่อยู่ไกลตัว
ชุบมือเปิบ
ก.ฉวยประโยชน์จากคนอื่นโดยไม่ได้ลงทุนลงแรง
เชื้อไม่ทิ้งแถว
ว.เป็นไปตามเผ่าพันธุ์
ซื่อเหมือนแมว
นอนหวด
ว.ทำเป็นซื่อ
ซื้อควายหน้านา,
ซื้อผ้าหน้าหนาว
ก.ซื้อของไม่คำนึงถึงกาลเวลา ย่อมได้ของแพง,
ทำอะไรไม่เหมาะกับกาลเวลา  ย่อมได้รับ
ความเดือดร้อน
เฒ่าหัวงู
น.คนแก่หรือคนมีอายุที่มีเล่ห์เหลี่ยม  หรือกลอุบาย หลอกเด็กผู้หญิง ในทางกามารมณ์,  คนแก่เจ้าเล่ห์
ดาบสองคม
ว.มีทั้งคุณและโทษ,  อาจดีอาจเสียก็ได้
ดาวล้อมเดือน
ว.มีบริวารแวดล้อมมาก
ดีดลูกคิดรางแก้ว
ก.คิดถึงผลที่จะได้ ทางเดียว
เดินตามหลังผู้ใหญ่
หมาไม่กัด
ก.ประพฤติตามอย่างผู้ใหญ่ย่อมปลอดภัย
ได้ทีขี่แพะไล่
ก.ซ้ำเติมเมื่อผู้อื่น เพลี่ยงพล้ำลง
ตกนรกทั้งเป็น
ก.ได้รับความลำบากแสนสาหัส  เช่น  คนที่ได้รับโทษทัณฑ์ในเรือนจำ
ตกน้ำไม่ไหล 
ตกไฟไม่ไหม้
ก.ตกอยู่ในที่คับขันอย่างไรก็ไม่เป็นอันตราย, เป็นคำเปรียบเทียบ  หมายความว่าตกอยู่ที่ใด    ก็ไม่สูญหาย  เช่น  ของหลวงตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้
ตกม้าตาย
ว.แพ้เร็ว, ยุติเร็ว,เรียกเต็มว่าสามเพลงตกม้าตาย
ตกล่องปล่องชิ้น
ก.ตัดสินใจที่จะร่วมมือหรือร่วมชีวิตด้วย
ต้นร้ายปลายดี
น.ตอนแรกประพฤติตัว ไม่ดี  แต่ภายหลังกลับ สำนึกตัวได้และ ประพฤติดีตลอดไป,  ตอนต้นไม่ดี ไปดีเอาตอนปลาย
ตบตา
ก.หลอกหรือลวง ให้เข้าใจผิด
ตบหัวลูบหลัง
ก.ทำหรือพูดให้กระทบกระเทือนใจ
ในตอนแรกแล้ว กลับทำหรือพูดเป็นการปลอบใจ ในตอนหลัง
ต่อความยาว
สาวความยืด
ก.พูดกันไปพูดกันมาให้มากเรื่องเกินสมควร
ต่อหน้ามะพลับ 
ลับหลังตะโก
ว.ต่อหน้าทำเป็นดี  แต่พอลับหลังก็นินทา หรือหาทางทำร้าย
ตัดเชือก
ก.ตัดความสัมพันธ์  ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ อีกต่อไป
ตัดหางปล่อยวัด
ก.ตัดขาดไม่เกี่ยวข้อง  ไม่เอาเป็นธุระอีกต่อไป
ตาบอดสอดตาเห็น
อวดรู้ในเรื่องที่ตนเองไม่รู้
ตำข้าวสารกรอกหม้อ
ก.หาเพียงแค่พอกินไปมื้อหนึ่ง ๆ ,   ทำให้พอเสร็จ ไปชั่วครั้งหนึ่ง ๆ
ตีงูให้กากิน
ก.ทำสิ่งใด ๆ ไว้แล้ว  แต่ผลไปตกแก่ผู้อื่น,  ทำสิ่งที่ตนควรจะได้รับประโยชน์  แต่กลับไม่ได้ 
ตีนเท่าฝาหอย
น.เด็กทารก
ตีปลาหน้าไซ
ก.พูดหรือทำให้กิจการของผู้อื่นซึ่งกำลังดำเนิน ไปด้วยดีกลับเสียไป
ตีวัวกระทบคราด
ก.โกรธคนหนึ่งแต่ทำอะไรเขาไม่ได้  ไพล่ไปรังควานอีกคน หนึ่งที่เกี่ยวข้อง และตนสามารถทำได้
เต้นแร้งเต้นกา
ก.แสดงอาการดีอกดีใจหรือสนุกสนานด้วยการ กระโดดโลดเต้น
เตี้ยอุ้มค่อม
น.คนที่มีฐานะต่ำต้อย หรือยากจนแต่ รับภาระเลี้ยงดูคน ที่มีฐานะเช่นตนอีก
ถ่มน้ำลายรดฟ้า
ก.ประทุษร้ายต่อสิ่งที่สูงกว่าตน  ตัวเองย่อมได ้รับผลร้าย
ถอดเขี้ยวถอดเล็บ
ก.ละพยศ,  ละความดุ หรือร้ายกาจ,  เลิกแสดงฤทธิ์ แสดงอำนาจอีกต่อไป
ถอนหงอก
ก.ไม่นับถือความเป็นผู้ใหญ่,พูดว่าให้เสียผู้ใหญ่
ถี่ลอดตาช้าง 
ห่างลอดตาเล็น
ว.ดูเหมือนรอบคอบถี่ถ้วน  แต่ไม่รอบคอบ ถี่ถ้วนจริง,ประหยัดในสิ่งที่ไม่ควรประหยัด  ไม่ประหยัด  ในสิ่งที่ควรประหยัด
ถึงพริกถึงขิง
ว.เผ็ดร้อนรุนแรง  เช่น  การโต้วาทีคราวนี้ถึง พริกถึงขิง
ทรัพย์ในดิน  สินในน้ำ
น.สิ่งที่มีอยู่หรือเกิดตามธรรมชาติ  อันอาจนำ มาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้
ทองไม่รู้ร้อน 
ว.เฉยเมย,  ไม่กระตือ รือร้น, ไม่สะดุ้งสะเทือน
ท่าดีทีเหลว
ว.มีท่าทางดี  แต่ทำอะไรไม่ได้เรื่อง
ทำคุณบูชาโทษ
ก.ทำคุณแต่กลับเป็นโทษ, ทำดีแต่กลับเป็นร้าย,  มักใช้พูดเข้าคู่กับโปรดสัตว์ได้บาป  เป็น  ทำคุณบูชาโทษ  โปรดสัตว์ได้บาป
ทุบหม้อข้าว
ก.ตัดอาชีพ,  ทำลายหนทางทำมาหากิน
นกต่อ
น.คนที่ทำหน้าที่ติดต่อหรือชักจูงหลอกล่อคนอื่น  ให้หลงเชื่อ  (ใช้ในทาง ไม่ดี)
นอนหลับไม่รู้ 
นอนคู้ไม่เห็น
ก.ไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น,  ไม่รู้อีโหน่อีเหน่
นายว่าขี้ข้าพลอย
ก.พลอยพูดผสมโรง ติเตียนผู้อื่นตามนาย ไปด้วย
น้ำขึ้นให้รีบตัก
มีโอกาสดีควรรีบทำ
น้ำขุ่นไว้ใน 
น้ำใสไว้นอก 
แม้จะไม่พอใจก็ยังแสดง สีหน้ายิ้มแย้ม
น้ำมาปลากินมด
น้ำลดมดกินปลา
ทีใครทีมัน
น้ำลดตอผุด
เมื่อหมดอำนาจความชั่ว ที่เคยทำไว้ก็ปรากฏ
บนบานศาลกล่าว
ก.ขอร้องให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ
บอกเล่าเก้าสิบ
ก.บอกกล่าวให้รู้
บ้านเคยอยู่  อู่เคยนอน
น.สถานที่ตนเคยอยู่อาศัยมาก่อน
บ้าหอบฟาง
ว.บ้าสมบัติ  เห็นอะไร ๆเป็นของมีค่าจะเอา ทั้งนั้น, อาการที่หอบหิ้วสิ่งของพะรุงพะรัง
แบกหน้า
ก.จำใจกลับมาแสดงตัวหรือติดต่อกับผู้ที่ตนเคย ทำไม่ดี ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมมาก่อนอีก  เช่น  นี่แบกหน้ากลับมาหากู  (รามเกียรติ์พลเสพย์)
ปากว่าตาขยิบ
ก.พูดอย่างหนึ่งแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง
ว.ปากกับใจไม่ตรงกัน
ปากปราศรัย
น้ำใจเชือดคอ
ก.พูดดีแต่ใจคิดร้าย
เป็นฝั่งเป็นฝา
ก.มีหลักฐานมั่นคง
ปิดทองหลังพระ
ก.ทำความดีแต่ไม่ได้รับการยกย่องเพราะ ไม่มีใครเห็นคุณค่า
ไปไหนมาสามวา
สองศอก
ก.ถามอย่างหนึ่งตอบไปอีกอย่างหนึ่ง
โปรดสัตว์ได้บาป
ก.ทำดีแต่กลับได้ชั่ว,  มักพูดเข้าคู่กับ  ทำคุณบูชาโทษ  เป็น  ทำคุณบูชาโทษ  โปรดสัตว์ได้บาป
ผักชีโรยหน้า
น.ทำความดีเพียงผิวเผิน
ผัดวันประกันพรุ่ง
ก.ขอเลื่อนเวลาออกไป ครั้งแล้วครั้งเล่า
ผีซ้ำด้ำพลอย
ว.ถูกซ้ำเติมเมื่อพลาดพลั้งหรือเมื่อคราว เคราะห์ร้าย
ผ้าขี้ริ้วห่อทอง
น.คนมั่งมีแต่แต่งตัวซอมซ่อ
ฝนทั่งให้เป็นเข็ม
ก.เพียรพยายาม สุดความสามารถ  จนกว่าจะสำเร็จผล
ฝนตกไม่ทั่วฟ้า
ก.ให้หรือแจกจ่ายอะไร ไม่ทั่วถึงกัน
ฝนสั่งฟ้า 
ปลาสั่งหนอง
สั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย,  ทำการอันใดที่เป็นสิ่ง สำคัญเพื่อไว้อาลัย ก่อนจากไป
ฝากผีฝากไข้
ก.ขอยึดเป็นที่พึ่งจนวันตาย
พระศุกร์เข้า
พระเสาร์แทรก
น.ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดซ้อน ๆ เข้ามา  ในขณะเดียวกัน
พระอิฐพระปูน
ว.นิ่งเฉย,  วางเฉย  ไม่เดือดร้อน,  ไม่รู้สึก
ยินดียินร้าย
พายเรือคนละที
ก.ทำงานไม่ประสานกัน
พรากลูกนกฉกลูกกา
ก.ทำให้ลูกพลัดพรากจากพ่อแม่
พูดไปสองไพเบี้ย 
นิ่งเสียตำลึงทอง
ก.พูดไปไม่มีประโยชน์  นิ่งเสียดีกว่า
พุ่งหอกเข้ารก
ก.ทำพอให้เสร็จไปโดยไม่มีเป้าหมายหรือ โดยไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อน
แพะรับบาป
น.คนที่รับเคราะห์กรรมแทนผู้อื่นที่ทำกรรมนั้น
แพ้เป็นพระ 
ชนะเป็นมาร
น.การยอมแพ้ทำให้เรื่องสงบ  การไม่ยอมแพ้ ทำให้เรื่องไม่สงบ
ไฟสุมขอน
น.ไฟที่คุกรุ่นอยู่ในขอนไม้ขนาดใหญ่  ดับยาก, โดยปริยายหมายถึงอารมณ์รัก    โกรธ หรือแค้นเป็นต้น  ที่ร้อนรุ่ม อยู่ในใจ
ฟังไม่ได้ศัพท์  จับไปกระเดียด
ก.ฟังไม่ได้ความแจ่มชัด  แล้วเอาไปพูดต่อ หรือ ทำผิด ๆ พลาด ๆ

 
   
   
   
   
   
   
   
  

ข้อควรคำนึงในการใช้สำนวนไทย

1. ควรใช้ให้ถูกต้องตรงตามความหมาย  นั่นคือ  ผู้ใช้จะต้องเรียนรู้และเข้าใจความหมายของสำนวนอย่างถ่องแท้  จึงจะใช้สำนวนได้ถูกต้องตามความหมาย  เพราะมีสำนวนที่มีคำใช้คล้ายกันแต่มีความหมายต่างกัน  จึงใช้แทนกันไม่ได้  แต่ก็มีบางสำนวนที่มี ความหมายเหมือนกัน  คล้ายคลึงกันอาจใช้แทนกันได้  แต่บางสำนวนแม้จะ มีความหมายเหมือนกันก็ไม่อาจจะใช้แทนกันได้  ทุกสถานการณ์



 2.ไม่เขียนสำนวนผิดหรือใช้ต่างไปจากสำนวนที่มีใช้อยู่โดยทั่วไปเพราะจะสื่อความหมายไม่ได้  ดังจุดประสงค์  เช่น 
                     -กงเกวียนกำเกวียน เป็น กงกำกงเกวียน 
                     -ขายผ้าเอาหน้ารอดเป็นแก้ผ้าเอาหน้ารอด


 3. ใช้สำนวนให้ถูกต้องตามสถานการณ์  สอดคล้องกับกาลเทศะและบุคคลและใช้ให้พอเหมาะ ไม่ฟุ่มเฟือย จนไม่อาจสื่อสารได้ดังต้องการ  ดังนั้นควรคำนึงถึงโอกาสและความเหมาะสมเป็นสำคัญ 
 เช่น 
                  -กระดี่ได้น้ำ ใช้เปรียบเทียบคนที่แสดงอาการ  ดีอกดีใจ  ตื่นเต้นจนตัวสั่น  เช่น  เขาดีใจเหมือนกระดี่ได้น้ำ
                   -กินน้ำใต้ศอก จำต้องยอมเป็นรองเขา,  ไม่เทียมหน้าเทียมตาเท่า,  (มักหมายถึงเมียน้อย 
ที่ต้องยอมลงให้แก่ เมียหลวง

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

วิธีการใช้สำนวน

 
 
 
      1. ใช้ในการจูงใจ  เช่น  ทำดีได้ดี  ทำชั่วได้ชั่ว  รักดีหามจั่ว  รักชั่วหามเสา  ธรรมะย่อมชนะอธรรม  คบคนพาลพาลพาไปหาผิด  คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล  แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร 
เป็นต้น
 
 
 
 
      
    2. ใช้ย่อข้อความยาว ๆ  เช่น  ขิงก็รา  ข่าก็แรง   ตัดหางปล่อยวัด   จับปลาสองมือ   กินเปล่า  ชุบมือเปิบ  ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ  เป็นต้น
 
 




 
         

 3. ใช้ขยายความหรือเน้นความเข้าใจ  เช่น  ปิดทองหลังพระ  หนีเสือปะจระเข้   ทำคุณบูชาโทษ  กินน้ำใต้ศอก  เรือล่มในหนองทองจะไปไหน หนูตกถังข้าวสาร เป็นต้น
 
 
 
 
       
   4. ใช้แทนถ้อยคำที่ไม่ต้องการกล่าวตรงๆ  เช่น  เฒ่าหัวงู   สิ้นบุญ  เจ้าโลก  บ้านเล็ก  ไก่แก่แม่ปลาช่อน โคแก่กินหญ้าอ่อน  วัวเคยขาม้าเคยขี่  เป็นต้น
 
 


 
 
          

 5. ใช้เพิ่มสีสันและความสละสลวยของถ้อยคำในการสื่อสาร  เช่น   ข้าวแดงแกงร้อน  อยู่เย็นเป็นสุข  รั้วรอบขอบชิด  คลุกคลีตีโมง  ขุดบ่อ ล่อ ปลา  เป็นต้น
 
   
  

สำนวนที่เกิดขึ้นใหม่

 
          1. สำนวนที่เกิดจากวงการสื่อมวลชน เช่น  ไปไม่ถึงดวงดาว (ไม่สำเร็จ ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ตามที่คิดไว้) มองต่างมุม (แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป)  เป็นต้น
 
 
 
 
          2. สำนวนที่เกิดจากวงการเมือง  เช่น  โปร่งใส (ชัดเจน ไม่มีลับลมคนใน)  น็อตหลุด    (ยั้งไม่อยู่  พูดโพล่งออกมาหรือแสดงอารมณ์อย่างไม่สมควร)   เป็นต้น
 
 
 
 
        3. สำนวนที่เกิดจากวงการโฆษณา  เช่น  ภาษาดอกไม้ (คำพูดที่ไพเราะ รื่นหู  พูดไป  ทางที่ดี)   มีระดับ (คุณภาพดี  มีมาตรฐานสูง)   เป็นต้น
 
 
 
 
            4. สำนวนที่เกิดจากวงการบันเทิง เช่น แจ้งเกิด (เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักหรือเป็นที่ยอมรับในวงการนั้น ๆ)   คู่กัด (คู่ที่ไม่ถูกกัน)  เป็นต้น
 
 
 
 
          5. สำนวนที่แปลมาจากภาษาต่างประเทศ   เช่น เเกะดำ (back sheep ใช้หมายถึง คนชั่วในกลุ่มคนดี)   แขวนอยู่บนเส้นด้าย (hang by a thread  ใช้หมายถึง  ตกอยู่ในสถานการณ์ที่หมิ่นเหม่ต่ออันตราย)  ลื่นเหมือนปลาไหล (slippery as eel ใช้หมายถึง  (คน)ที่เชื่อถือได้ยากเพราะเป็นคนตลบตะแลง  พลิกแพลงกลับกลอก  หรือหลบเลี่ยงไปมาได้คล่องแคล่ว)  ล้างมือ (wash one’ s hand of  ใช้หมายถึง  ปฏิเสธที่จะเกี่ยวข้องหรือรับผิดชอบ  หรือเลิกเกี่ยวข้อง)  สร้างวิมานในอากาศ (build castles in the air  ใช้หมายถึง  ฝันหรือหวังในสิ่งที่ไม่วสามารถจะเป็นความจริงได้)  เป็นต้น
 
 
 
 
          6. สำนวนเกิดใหม่ที่ปรากฏในหนังสือพิมพ์รายวัน  
        -สำนวนสร้างใหม่  เช่น  ขบเหลี่ยม (ไม่ลงรอยกัน  ขัดกัน  หักร้างกัน) ไทยเหลือง (พระที่ประพฤติตน ไม่เหมาะสม)
        -สำนวนดัดแปลง  เช่น  กิ้งก่าฟาดหาง (อาการเตะเพื่อทำร้ายฝ่ายตรงข้าม  ดัดแปลงจากชื่อท่ามวยไทย  จระเข้ฟาดหาง )  นักกินเมือง (นักการเมืองที่มุ่งแต่จะหาประโยชน์เข้าตัวเอง  ดัดแปลงจากคำว่า  นักการเมือง)  ยุค IMF  (ยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำต้องประหยัด  IMF  มาจากคำว่า International Monetary Found  ซึ่งเป็นชื่อกองทุนการเงินระหว่างประเทศ)
         -สำนวนที่เปลี่ยนบริบทการใช้  เช่น  ชิงสุกก่อนห่าม (ตกรอบไปก่อนเวลาอันสมควร
ปรกติใช้กับการที่หนุ่มสาวลักลอยได้เสียกันก่อนแต่งงาน  แต่นำมาใช้ในบริบทใหม่ทางการกีฬา)
อุ้ม (ลักพาตัวไป เพื่อนำไปฆ่า  เปลี่ยนความหมายจากเดิมที่หมายถึง โอบ ยกขึ้น ยกขึ้นไว้กับตัว  หรือให้ความอุปถัมภ์ช่วยเหลือ)
        -สำนวนที่มาจากภาษาต่างประเทศ  เช่น  ฮั้ว (สมยอมกันในการประมูลงานโดย บริษัทหนึ่งจะ นัดบริษัทอื่น ๆ   ที่สนใจในการประมูลงานใดงานหนึ่งมาตกลงกัน  บริษัทนั้นจะจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้บริษัทอื่น ๆ เพื่อให้บริษัทเหล่านั้นหลีกทางให้บริษัทตนเป็นผู้ประมูลได้  มาจากคำว่า  ฮั้ว ในภาษาจีน)  ไฮโซ  ไฮซ้อ  ไฮซิ้ม  (ชนชั้นสูงหรือผู้มีเงิน  มีฐานะในวงสังคม  มีที่มาจากคุณหญิง คุณนายที่เป็นภรรยาหรือบุตรนักธุรกิจ  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยเสื้อสายจีน  และบางคนอาจมีลักษณะของความเป็นจีนอยู่  จึงมีการพูดล้อเลียน  ไฮซ้อ  ไฮซิ้ม   มาจากคำว่า  ไฮโซ รวมกับคำว่า  ซ้อ  และ ซิ้ม  ซึ่งเป็นภาษาจีน)  เตะซีมะโด่ง (ให้พ้นจากตำแหน่ง  ปรกติจะใช้ว่า  เตะโด่ง   ซีมะโด่ง  เป็นคำมาจากภาษาเขมรว่า  ซีมวยดอง  แปลว่า  กินหนึ่งครั้ง  เสียงพยางค์สุดท้ายใกล้เคียงกับคำว่า โด่ง  ในภาษาไทย  จึงนำมาใช้แทนคำว่า โด่ง)
 
 

ลักษณะของสำนวนไทย


 
 
   1.  ถ้อยคำที่ใช้เป็นสำนวนอาจเป็นเพียงคำเดียว  หรือประกอบด้วยถ้อยคำที่เรียงกันตั้งแต่  2  คำขึ้นไปซึ่งบาง สำนวนเป็นกลุ่มคำ   บางสำนวนเป็นประโยค  ซึ่งมีทั้งความเดียวและประโยคความซ้อน
 
   2. สำนวนไทยบางสำนวนมีทั้งมีเสียงสัมผัสและไม่มีเสียงสัมผัส   ที่มีเสียงสัมผัส  มีเสียงสัมผัสในและสัมผัสนอก  จะมีตั้งแต่ 4 ถึง 12  คำ  ส่วนที่ไม่มีเสียงสัมผัส  จะมีตั้งแต่ 2  ถึง 8  คำ  บางสำนวนมีการใช้คำซ้ำและเล่นคำ
 
 
    3. เนื้อความของสำนวนมีทั้งที่มีเนื้อความตอนเดียว  และมีเนื้อความสองตอนขึ้นไป
 
 
    4. เนื้อหาของสำนวนจะมีหลากหลาย  ดังนี้
           4.1 เนื้อหาเกี่ยวกับรูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ และกิริยาท่าทาง
           4.2 เนื้อหาเกี่ยวกับลักษณะนิสัย  กิริยาอาการและพฤติกรรม
           4.3 เนื้อหาเกี่ยวกับจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก
           4.4 เนื้อหาเกี่ยวกับการพูด
           4.5 เนื้อหาเกี่ยวกับความรัก  การมีคู่  และการครองเรือน
           4.6 เนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้ และการอบรมสั่งสอน
           4.7 เนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นอยู่ อาชีพ การทำงาน การทำมาหากิน และการดำรงชีวิต
           4.8 เนื้อหาเกี่ยวกับการอยู่ร่วมกันในสังคม การเมือง การปกครอง
           4.9 เนื้อหาเกี่ยวกับคุณธรรม การเตือนสติและคำสอนต่าง ๆ
           4.10 เนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์  สถานการณ์ เวลา  ระยะทางและสถานที่
 
 

 
 
     5. เป็นถ้อยคำสละสลวยที่ใช้แทนคำพูดธรรมดา  เป็นคำแปลก ๆ โดยอาจเทียบเคียงมาจากการกระทำบางอย่าง  เป็นคำกล่าวที่มีความหมายโดยนัย  เป็นคำที่มาจากปรากฏการธรรมชาติ นิทาน ชาดก หรือวรรณคดี  ใช้ถ้อยคำน้อย แต่มีเนื้อความมาก  และเป็นคำที่มีความไพเราะ ฯลฯ
 
 

ประวัติของสำนวนไทย





          สำนวนไทยนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนสมัยพ่อขุนรามคำแหง ถ้อยคําหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมาช้านานแล้ว มีความหมายไม่ตรงตามตัวหรือมีความหมายอื่นแฝงอยู่ สันนิษฐานว่า สำนวนนั้นมีอยู่ในภาษาพูดก่อนที่จะมีภาษาเขียนเกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย โดยเมื่อพิจารณาจากข้อความในศิลาจารึก พ่อขุนรามคำแหงแล้ว ก็พบว่ามีสำนวนไทยปรากฏเป็นหลักฐานอยู่ เช่น ไพร่ฟ้าหน้าใส หมายถึง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขหนังสือสุภาษิตพระร่วงก็มีเนื้อหาเป็นสำนวนไทยที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบันมากมาย เช่น เมื่อน้อยให้เรียนวิชา ให้หาสินเมื่อใหญ่ 

        หนังสือกฎมณเฑียรบาลของเก่า ก็มีสำนวนไทยปรากฏอยู่ นอกจากนี้ในวรรณคดีไทยต่างๆ ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นต้นมาก็มีสำนวนไทยปรากฏอยู่มากมาย เช่น ขุนช้างขุนแผน ลิลิตยวนพ่าย ลิลิตพระลอ และราชาธิราชเป็นต้น 

        สำนวนเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งของภาษาไทย เพราะเป็นคำพูดที่กลั่นกรองขึ้น เพื่อความสละสลวยของภาษาเป็นถ้อยคำที่คมคายกว่าคำพูดธรรมดา เป็นคำพูดที่รวมใจความยาวๆให้สั้นลงได้ ก็จะทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจง่าย ๆ

ความหมายของสำนวนไทย



สำนวนหมายถึง ถ้อยคำที่เรียบเรียงเป็นข้อความ  หรือคำพูดที่เป็นชั้นเชิง  ไม่ตรงตามรูปแบบภาษา  เป็นถ้อยคำหรือ คำพูดที่มีลักษณะเฉพาะตัว  มีความหมายเป็นนัยแฝงอยู่ กินความกว้าง หรือลึกซึ้ง  นำมาใช้ให้มีความหมายแตกต่างไปจากความหมายเดิมของคำ ๆ นั้น  หรืออาจจะมีความหมายคล้าย กับความหมายเดิมของคำที่นำมาประสมกัน แต่ก็ไม่เหมือนกับความหมายเดิมทีเดียว  เป็นความหมายใน เชิงอุปมาเปรียบเทียบ  มักใช้ถ้อยคำที่ไม่ยาวมากแต่กินความมาก   ใช้คำที่ไพเราะ คมคาย สละสลวย  ต้องอาศัยการตีความจึงจะเข้าใจ